Mark Zuckerberg CEO และ Chairman ของ Facebook ได้ประกาศการ Rebrand จาก Facebook เป็น “Meta” เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม โดยให้เหตุผลว่าแบรนด์ Facebook ไม่สามารถเป็นตัวแทนของทุกสิ่งที่ทำในวันนี้ และในอนาคตได้ แต่ยังคงวิสัยทัศน์เดิม คือการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน โดยที่บริษัท Meta จะเป็น Metaverse หรือ Meta Universe เพื่อสะท้อนถึงการมุ่งเน้นของบริษัทในการสร้างโลกเสมือนจริงที่ใหญ่ขึ้น นอกเหนือจากแพลตฟอร์มเดิมซึ่งเป็นธุรกิจสื่อสังคมออนไลน์ บริษัท Meta จะเป็นการสร้างโลกออนไลน์ เชื่อมโยงผู้คนกับเทคโนโลยี ผู้คนสามารถเล่นเกม ทำงาน และสื่อสารกันได้ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงผ่านแว่นตา นาฬิกา headset หรือเครื่องมือเชื่อมต่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์
คำว่า “Meta” มาจากคำภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “Beyond” หรือ “ไร้ขอบเขต,เหนือกว่า” สำหรับบางคน metaverse อาจดูเหมือนเป็นเวอร์ชั่นของ VR- Virtual Reality แต่บางคนเชื่อว่าอาจเป็นจะเป็นเทคโนโลยีอนาคตของอินเทอร์เน็ต แทนการใช้คอมพิวเตอร์ ผู้คนใน metaverse อาจใช้ชุดหูฟังเพื่อเข้าสู่โลกเสมือนจริงที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือดิจิทัลทุกประเภท ตั้งแต่การทำงาน การเล่นเกมส์ การดูคอนเสิร์ต ไปจนถึงการเข้าสังคมกับเพื่อนและครอบครัว การเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook มาเป็น Meta ก็ยังทำให้ได้เปิดตัวโลโก้ใหม่แทนที่โลโก้ “ไลค์” ยกนิ้วโป้งของ Facebook ด้วยรูปทรง “อินฟินิตี้” สีน้ำเงินแทน
Facebook ได้มีการปรับองค์กรจากธุรกิจเดิมที่มีแค่การบริการแพลตฟอร์มอย่างFacebook Instagram WhatsApp โดยการขยายฐานเข้าสู่ metaverse ได้จากการเข้าซื้อ Reality Labs และ Oculus เพื่อสร้างธุรกิจ metaverse ให้ใหญ่และกว้างขวางมากขึ้น แต่ยังคงแพลตฟอร์มเดิม Facebook ได้เข้าซื้อบริษัท Oculus ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชุดหูฟัง VR แต่ยังไม่ได้เป็นที่นิยมและทำรายได้เข้าบริษัทมากนัก Oculus จะถูกเปลี่ยนเป็น Meta Quest และแอป Meta Quest ในต้นปีหน้า ส่วน Instagram และ WhatsApp คงยังใช้ชื่อเดิม
เราหวังว่าจะได้เห็นธุรกิจ ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เมื่อเทคโนโลยีทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่ตอบรับกับสิ่งใหม่ ๆ อย่างง่ายมากขึ้น และสามารถปรับตัวเองได้รวดเร็วกับการทำงาน และการใช้งานกับเครื่องมือดิจิทัลได้อย่างดี
เรื่อง: ดร.สุวรรณา ก่อวัฒนกุล
Source: https://www.bbc.com
https://www.cnet.com